Sunday, May 4, 2014

พริก

ประเภทของพริก

พันธุ์พริกที่ปลูกภายในประเทศมีมากมายหลากหลายชนิด ปลูกกระจายทั่วประเทศ ผลพริกมีขนาดรูปร่างและสีที่แตกต่างกัน แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ได้แก่

  • พริกใหญ่
  • ยาว 5-10เซนติเมตร
  • ปลูกมากในภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
  • แหล่งผลิตใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ นครสวรรค์ ลำพูน อุตรดิตถ์ ชัยภูมิ นครราชสีมา เลย และราชบุรี
  • แหล่งปลูกพริกใหญ่ที่สำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ได้แก่ อำเภอจอมทอง ดอยเต่า ฮอด และสันกำแพง
  • พริกเล็ก พริกขี้หนูเม็ดใหญ่
  • ยาว 2-5 เซนติเมตร
  • ปลูกมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก ภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคตะวันออก
  • แหล่งผลิตใหญ่ ได้แก่ กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ตาก เชียงใหม่ นครราชสีมา เลย นครสวรรค์ เพชรบูรณ์ ขอนแก่น ชัยภูมิ นครศรีธรรมราช และอุบลราชธานี
ฤดูที่ปลูกพริก

ปลูกได้ทุกฤดู ทั้งหนาว ฝน และร้อน ฤดูฝนและฤดูหนาวเป็นฤดูที่นิยมปลูกกันมากที่สุด


  • ที่นา (ฤดูฝน)
  • ปลูกในเขตพื้นที่อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ พื้นที่เป็นที่ที่มีฝนตกน้อยไม่เพียงพอต่อการทำนา จึงปลูกพริกแทนการปลูกข้าวนาปี
  • เกษตรกรเริ่มทำการเพาะกล้าในเดือนกรกฎาคม และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือน ธันวาคม-มีนาคม ของปีถัดไป
  • ที่นา (ฤดูหนาว)
  • นิยมปลูกในเขตพื้นที่อำเภอแม่ริม แม่แตงและสารภี
  • ปลูกเป็นพืชหลักหรือพืชแซมลงในกระเทียม การเพาะกล้าเริ่มในเดือนธันวาคมและเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม
  • ที่พืชไร่ (ฤดูฝน)
  • นิยมปลูกบนที่ดอนหรือเนินเขา อาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว เช่น ในอำเภอจอมทอง ฮอด และดอยเต่า
  • เริ่มเพาะกล้าเริ่มในเดือนกรกฎาคม และเก็บเกี่ยวช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ของปีถัดไป ริกเล็ก มีระบบการเพาะปลูก 4 ระบบ ในฤดูฝนและฤดูหนาว

  • ที่พืชไร่ (ต้นฤดูฝนหรือปลายฤดูฝน)
  • ปลูกเป็นพืชหลัก มีการเพาะปลูกบนที่ดอนหรือเนินเขา เช่น ในอำเภอแม่อาย จอมทอง และดอยเต่า
  • เพาะกล้าต้นฤดูฝนในเดือนกรกฎาคมและเก็บเกี่ยวในเดือน ธันวาคม-มีนาคมของปีถัดไป
  • ส่วนอีกรุ่นเพาะกล้าปลายฤดูฝนประมาณเดือนกันยายนและเก็บเกี่ยวในช่วง เดือนกุมภาพันธ์-พฤษภาคม


  • ที่นา (ฤดูหนาวหรือฤดูแล้ง)
  • เขตอำเภอฝาง แม่อาย และกิ่งอำเภอไชยปราการ
  • ปลูกแซมกระเทียม พริกเล็กถูกปลูกเป็นพืชแซมในแปลงกระเทียมในนาฤดูหนาวหลัง เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ
  • เพาะกล้าในเดือนพฤศจิกายน และเก็บเกี่ยวในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน
แมลงศัตรูพริก


  • เพลี้ยอ่อน
  • เพลี้ยไฟ
  • ไรขาว ซึ่งเป็นตัวพาหนะนำเชื้อไวรัส แต่ยังมีศัตรูอื่น
  • ไส้เดือนฝอย
  • หนอนผีเสื้อ
  • หนอนเจาะสมอฝ้าย
  • หนอนอเมริกัน
  • หนอนแมลงวัน
  • เป็นต้น

โรคของพริก

โรคพริกที่พบโดยทั่วไปในประเทศไทย ได้แก่ โรคต้นเน่า โรคเหี่ยว โรคใบจุด โรคราแป้ง โรคกุ้งแห้ง โรคยอดและกิ่งแห้ง โรคผลเน่า โรคตากบและโรคใบหงิก โรคกุ้งแห้ง

เกิดจากเชื้อราหลายชนิด เป็นโรคที่ระบาดรวดเร็ว และมักเป็นขณะที่ผลพริกเจริญเติบโตเกือบเต็มที่สังเกตเห็นได้ชัดบนผลพริก เป็นจุดสีน้ำตาล ช้ำๆ ทำให้เกิดผลเน่า มักระบาดลุกลามทั้งหมู่บ้าน การป้องกันกำจัดก่อนโรคเกิดการระบาด แช่เมล็ดในยาฆ่าเชื้อราก่อนปลูก หลังปลูกควรพ่นยาฆ่าเชื้อรา ทุกๆ 7-15 วันต่อครั้ง
  • โรคผลเน่า
  • เกิดจากเชื้อรา ทำให้เกิดแผลที่ผลได้ โรคผลเน่านี้บางครั้งเรียกว่าโรคกุ้งแห้งเทียม
  • โรคยอดและดอกเน่าหรือโรคพริกหัวโกร๋น
  • เกิดจากเชื้อรา โรคนี้แสดงอาการในระยะผลิดอกออกผล ยอดและใบอ่อนเน่าเป็นสีน้ำตาลไหม้ ยอดพริกแตกยอดต่อไปไม่ได้ป้องกันและกำจัดโดยใช้ยากำจัดโรครา พ่นทุก 5-7 วัน ควรพ่นยาฆ่าเชื้อราในดินด้วยและใช้ปูนขาวลดความเป็นกรดของดิน
  • โรคใบจุด
  • แผลที่เกิดเป็นจุดสีน้ำตาล และอาจมีเชื้อราอยู่ตรงกลางของวงเป็นสีเหลือง ถ้าเป็นมากใบพืชจะเหลืองและร่วง การป้องกันกำจัดโดยใช้ยากำจัดเชื้อรา
  • โรคกล้าเน่า
  • เกิดจากเชื้อรา ทำให้ต้นกล้าเหี่ยวแห้งตาย เชื้อราอาศัยในดินหรือติดมากับเมล็ด เชื้อรามักทำลายลำต้นส่วนที่อยู่ติดดิน ต้นพืชแสดงอาการคล้ายขาดน้ำ ป้องกันและกำจัดโดยคลุกเมล็ดกับยาฆ่าเชื้อรา และพ่นยาให้ต้นกล้า
  • โรคราแป้ง
  • เกิดจากเชื้อรา จะมองเห็นเชื้อราเป็นผลคล้ายแป้งบนใบพริก อาจมีจุดสีน้ำตาลและสีเหลืองปนอยู่ การป้องกันกำจัดโดยใช้กำมะถันผงละลายน้ำ พ่นจะช่วยลดการระบาดของโรคนี้ได้
  • โรคเหี่ยว
  • เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ต้นพริกแสดงอาการเหี่ยวในเวลากลางวัน และฟื้นในตอนกลางคืน ถ้าเป็นโรคมากก็จะเหี่ยวตาย เมื่อเฉือนต้นจะเห็น เป็นสีน้ำตาลอ่อน โรคนี้ไม่มียาป้องกันและกำจัด โรคนี้อาศัยในดินและอาจมากับน้ำที่ใช้รดต้นไม้ด้วย
  • โรคใบหงิกหรือโรคใบด่าง
  • เกิดจากเชื้อไวรัสหลายชนิด ใบพริกมีอาการใบหงิกหรือใบด่าง โดยเฉพาะใบอ่อนมีอาการมากกว่าใบแก่ ทำการป้องกันกำจัดโดยการป้องกันเพลี้ยไฟ เพลี้ยอ่อน และไรขาว เพราะเป็นตัวนำโรคไวรัส การฉีดยาฆ่าแมลงชนิดต่าง ๆ จะช่วยลดจำนวนแมลงเหล่านี้ลง หากพืชแสดงอาการต้องกำจัดโดยถอนและเผาทิ้ง ไม่มีวิธีการป้องกันและรักษาถ้าพืชแสดงอาการแล้ว
  • โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose)

เครดิต:
  • http://203.172.198.146/rice/rice_mix1/crop_114.html


No comments:

Post a Comment